Breadcrumb
English translation available
“ศิลปะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผมเข้าใจความหมายของชีวิต” คุณนรภัทร ศักดิ์อาธรทรัพย์ ศิลปินชาวกรุงเทพมหานคร ผู้ซึ่งใช้ดอกไม้เป็นแกนหลักของความคิดสร้างสรรค์และอัตลักษณ์ของเขากล่าว
ร่วมกับคุณนาธาน เบียร์ด ศิลปินสหสาขา ซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย เขาเป็นหนึ่งในสองผู้ได้รับรางวัลรุ่นแรกของรางวัล Debra Porch Award: Visual Arts Residency โครงการประจำปีที่จัดขึ้นร่วมกับ SAC Gallery ในกรุงเทพมหานคร UNSW Galleries ในนครซิดนีย์ และ Creative Australia เพื่อเป็นเกียรติรำลึกถึงศิลปิน ครู และนักวิจัยผู้ล่วงลับ คุณเดบรา พอร์ช (Debra Porch)

การพำนักเพื่อทำงานศิลปะแบบแลกเปลี่ยนเป็นเวลาหกสัปดาห์ช่วยให้พวกเขาได้สัมผัสกับบริบททางวัฒนธรรมที่แตกต่าง รวมถึงการสนับสนุนด้านภัณฑารักษ์และการวิจัย การเชื่อมโยงกับชุมชนศิลปะท้องถิ่น และการเข้าใช้สตูดิโอ โดยไม่มีแรงกดดันเรื่องกำหนดการจัดแสดงนิทรรศการ ทำให้พวกเขามีเวลาในการสำรวจแนวทางการสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบใหม่ ๆ
แนวคิดที่ลื่นไหลของ ‘ความเป็นไทย’ นั้น ทำให้หัวข้อนี้มีความน่าสนใจในการนำมาสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ
คุณนาธานเติบโตที่เมือง Boorloo (นครเพิร์ท) ซึ่งอยู่ห่างไกลจากจังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นบ้านเกิดของมารดา แต่มีความผูกพันกับวัฒนธรรมทางฝั่งมารดาอย่างลึกซึ้ง

“บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของบรรดาป้า ๆ คนไทยและอาหารไทยเสมอ ผมเคยไปวัดพุทธและร้านไทยในนครเพิร์ทกับแม่ และได้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ยังคงถูกสืบสานไว้แม้อยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดของแม่ก็ตาม
สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของเขาในแนวคิดที่ว่า “วัฒนธรรมถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไรและตีความได้อย่างไร” แนวคิดเรื่อง ‘ความเป็นไทย’ ซึ่งได้รับการหล่อหลอมจากพลวัตที่เปลี่ยนแปลงไปของประวัติครอบครัว โลกาภิวัตน์ สัทธิล่าอาณานิคม และความต้องการจากนักสะสม ซึ่งกลายเป็นแกนหลักของผลงานเขา
แม้ว่าเอกสารจดหมายเหตุของครอบครัวและคอลเลกชันโบราณวัตถุไทยของแม่จะเป็นแรงบันดาลใจแรกเริ่ม แต่หลังจากนั้นคุณนาธานขยายความสนใจในการค้นคว้าเกี่ยวกับที่มาที่ไปและมรดกทางอาณานิคมของโบราณวัตถุไทยในคอลเลกชันของออสเตรเลีย เนื่องจากวัตถุจำนวนมากที่เก็บสะสมในสถาบันตะวันตกยังไม่ได้มีการเผยแพร่หรือเปิดให้สาธารณชนเข้าถึง
“ผมสนใจว่าใครมีสิทธิ์พูดแทนใครในบริบทที่เชิดชูสิ่งแวดล้อมนั้น และต้องการค้นหาวิธีเชิงสร้างสรรค์ที่พยายามเผชิญหน้าหรือท้าทายบริบทดังกล่าว”
การวิจัยของเขานำเขาไปสู่คลังจดหมายเหตุขนาดใหญ่จากหอศิลป์ที่เลิกกิจการไปแล้วคือ David Jones Art Gallery ซึ่งมีการเก็บรักษาอยู่ที่หอศิลป์ Art Gallery of New South Wales และในเดือนธันวาคม ปี 2024 คุณนาธานได้เดินทางไปกรุงเทพมหานคร เพื่อค้นหาความรู้เพิ่มเติมในงานวิจัยของเขา
เมื่อพบว่ามีความลังเลที่จะพูดถึงประวัติที่ทำให้โบราณวัตถุไทยตกไปอยู่ในคอลเลกชันของชาวตะวันตกได้อย่างไร เขาจึงหันไปพูดคุยกับนักสะสมชาวไทย ผู้ผลิตของเลียนแบบและของปลอม และกรมศิลปากรหรือ Fine Arts Department ของไทย เพื่อสำรวจ “แนวคิดเรื่องการหมุนเวียนและความต้องการ” และ “รสนิยมแห่งความหรูหรา” ของโบราณวัตถุไทยที่ถูกนำออกไปนอกบริบทดั้งเดิม

การวิจัยจากการพำนักเพื่อทำงานศิลปะของคุณนาธานยังนำไปสู่ผลงานประติมากรรมที่ผลิตขึ้นสำหรับนิทรรศการศิลปะ TarraWarra Biennial 2025 ซึ่งเป็นรูปมือสามคู่โอบประคองเศียรเทพเจ้าสำริดบนหีบไม้
เศียรเหล่านี้ถูกหล่อขึ้นที่โรงหล่อสำริดในประเทศไทยซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการทำของโบราณจำลอง โดยใช้การพิมพ์สามมิติที่ได้มาจากงานวิจัยของเขา ขณะที่แม่พิมพ์ซิลิโคนรูปมือของคุณนาธานถูกย้อมเป็นสีฟ้าเพื่อให้คล้ายกับถุงมือยางไนไตรล์ที่ใช้ในพิพิธภัณฑ์
ผลงานดังกล่าวใช้ชื่อว่า 1952,1215.1, 1952,1215.4 และ 1963,1016.12 ตามรูปแบบรหัสสะสมของสถาบันหรือพิพิธภัณฑ์ เป็นการสะท้อนอย่างประชดประชันเกี่ยวกับที่มาที่ไปที่คลุมเครือของโบราณวัตถุ คำถามเรื่องความแท้จริง และบริบททางวัฒนธรรมเมื่อถูกจับแยกออกจากถิ่นกำเนิด
“งานปฏิมากรรมถูกจัดให้อยู่ในท่าทางต่าง ๆ ที่หยิบยืมมาจากการนวดศีรษะแบบไทย ราวกับว่ากำลังมอบการบำบัดหรือฟื้นฟูบางอย่างให้กับสิ่งของที่ถูกซ่อนเร้น หรืออนุญาตให้เข้าถึงได้ตามเงื่อนไขบางอย่างเท่านั้น” เขากล่าว

ตอนเด็ก ๆ ก่อนที่ผมจะเข้าใจอัตลักษณ์ตัวเองว่าเป็นเกย์ ผมชอบวาดตัวการ์ตูนผู้หญิงและดอกไม้
ตั้งแต่เด็ก คุณนรภัทรมีความรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติ ซึ่งได้หล่อหลอมทั้งอัตลักษณ์และธีมทางศิลปะของเขา เขาเติบโตในเขตชานเมืองของกรุงเทพมหานคร ในย่านที่ครั้งหนึ่งเคยรายล้อมไปด้วยสวนผลไม้ เขาใช้เวลาช่วงฤดูร้อนกับป้าที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลในภาคตะวันออกของประเทศไทยที่เต็มไปด้วยทุ่งนาข้าวและพืชพันธุ์ไม้เฉพาะถิ่น
“บ้านป้ามีชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับพืชและสมุนไพร” เขากล่าว “ผมจำได้อย่างชัดเจนว่าหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือทุกเล่ม โดยจำภาพและชื่อดอกไม้ต่าง ๆ ได้แทบทั้งหมด วันหนึ่งตอนที่ไปตลาดดอกไม้กับครอบครัว ผมสามารถเรียกชื่อดอกไม้ได้เกือบทุกชนิด ครอบครัวผมต่างทึ่งมาก”
ผลงานยุคแรกของเขาเป็นการสำรวจอัตลักษณ์ในมุมส่วนตัว ก่อนที่จะพัฒนาเป็นการวิพากษ์วิจารณ์สังคม
“ในตอนแรก ผมใช้ศิลปะและดอกไม้เพื่อถ่ายทอดความทรงจำที่เจ็บปวด ความรู้สึกถูกปฏิเสธ และความจำเป็นต้องปิดซ่อนอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเอง” เขากล่าว
“แต่เมื่อเวลาผ่านไป ศิลปะและดอกไม้ก็ได้กลายเป็นสะพานเชื่อมให้เกิดความเข้าใจ ทุกวันนี้ ผลงานของผมสะท้อนปัญหาสังคมในวงกว้าง ซึ่งผมมีประสบการณ์ตรง เช่น ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้น การกีดกันทางสังคม และความไม่เท่าเทียมกันในรูปแบบต่าง ๆ”
ผลงานของคุณนรภัทรทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรแสดงออกถึงคำวิจารณ์ต่อความเปราะบางและอำนาจ ผลงานติดตั้งของเขาโดดเด่นเปร่งประกายด้วยสีสัน ผิวสัมผัส และโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของดอกไม้เมื่อเทียบเคียงกับวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น ส่วนภาพถ่ายของเขาจับภาพการจัดดอกไม้ในห้วงเวลานั้น โดยมักจะถ่ายโดยใช้ฉากที่มืดทึบลึกลับน่าสะพรึงกลัวเป็นพื้นหลัง

คุณนรภัทรได้สมัครเข้าร่วมรางวัลนี้เนื่องจากเห็นถึง “ความหลากหลายของมนุษย์และพฤกษชาติ” ของออสเตรเลีย รวมถึงโอกาสในการเพิ่มพูนความรู้ของเขาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้พื้นเมืองให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“[นั่น] เป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตและทำให้มุมมองของผมเกี่ยวกับความหลากหลายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง” เขากล่าวถึงการพำนักเพื่อทำงานศิลปะครั้งนี้ ซึ่งมอบพื้นที่ส่วนตัวในการทำงานให้เขาเป็นครั้งแรก โดยที่เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน หลังจากที่ต้องแชร์ห้องนอนร่วมกับพ่อแม่และน้องสาวของเขาในกรุงเทพมหานครมาตลอด
“นครซิดนีย์เป็นสถานที่แรกในชีวิตที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่หลากหลายเช่นนี้ ... ความหลากหลายทางพฤกษชาติที่อุดมสมบูรณ์ยังทำให้ผมได้รับความรู้มากมายที่ไม่สามารถหาจากที่อื่นได้”
เขาได้ไปสำรวจตลาดดอกไม้ สวนพฤกษศาสตร์ และอุทยานแห่งชาติของนครซิดนีย์ เจ้าหน้าที่จากหอศิลป์ UNSW Galleries ยังเชื่อมโยงเขากับศิลปิน นักพฤกษศาสตร์ และแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงร้านขายดอกไม้ท้องถิ่นที่เจ้าของร้านได้กลายมาเป็นผู้ร่วมงานและเพื่อนไปในที่สุด “ทุกความทรงจำอันงดงามในช่วงเวลานี้ถูกจัดเก็บไว้ในดอกไม้ทุกดอก ภาพถ่ายทุกภาพ และงานศิลปะทุกชิ้นที่ผมได้สร้างขึ้นในระหว่างการพำนักครั้งนี้”
การพำนักเพื่อทำงานศิลปะจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อมีความยืดหยุ่นและการตอบสนองต่อความต้องการของศิลปิน
คุณโจเซ ดา ซิลวา (José Da Silva) ผู้อำนวยการในตำแหน่ง UNSW Galleries Director มองว่าความสำเร็จของโครงการนี้อยู่ที่การสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
“ผลลัพธ์ที่มีค่าที่สุดคือโอกาสในการเข้าถึงประสบการณ์ใหม่ ๆ และการสร้างความสัมพันธ์ มากกว่าการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ การมีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในท้องถิ่นทำให้ประสบการณ์การพำนักเพื่อทำงานศิลปะยังคงส่งผลต่อไปอีกนานแม้จะสิ้นสุดโครงการไปแล้วก็ตาม”
คุณโจเซกล่าวว่า โครงการนี้เป็นการเชิดชูเจตนารมณ์ของคุณเดบรา พอร์ช ที่มีต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และวิธีที่โครงการพำนักเพื่อทำงานศิลปะได้ช่วยหล่อหลอมแนวทางการทำงานของเธอเอง
สำหรับศิลปินทั้งชาวไทยและออสเตรเลีย โครงการนี้เปิดทางให้ศิลปินได้มีส่วนร่วมกับภาคส่วนทางวัฒนธรรมที่หลากหลายของทั้งสองประเทศ และสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นในศิลปะและในชีวิต
คุณนรภัทรเห็นด้วย
การแลกเปลี่ยนศิลปินแบบนี้ช่วยเติมเต็มช่องว่าง สร้างโอกาสที่เท่าเทียมกันมากขึ้นในการค้นพบและเรียนรู้ แบ่งปันสิ่งที่เรามี และได้รับสิ่งที่เรายังขาดจากประเทศเจ้าภาพ
การเปิดรับสมัครของรางวัล Debra Porch Award: Visual Arts Residency ประจำปี 2026 จะสิ้นสุดในวันอังคารที่ 16 กันยายน 2025 เวลา 15.00 น. เวลามาตรฐานออสเตรเลียตะวันออก (AEST) ผู้สมัครที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับแจ้งในเดือนพฤศจิกายน 2025 โดยที่โครงการพำนักเพื่อทำงานศิลปะจะมีขึ้นในปี 2026 สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2025 ได้แก่ ศิลปินสิ่งทอ คุณกรรณชลี งามดำรงค์ (Kanchalee Ngamdamronk) และศิลปินสหสาขา คุณเมวิช อิกบัล (Mehwish Iqbal) จะเข้าร่วมการพำนักเพื่อทำงานศิลปะของพวกเขาในปลายปีนี้